ขุนพลทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย หอบ “แชมป์อาเซียน” สมัยที่6 กลับถึงไทยท่ามกลางการต้อนรับจากแฟนบอล และสื่อมวลชล อย่างอุบอุ่น ด้าน “มาดามแป้ง” เผยนี่คือก้าวแรกของ “ทีมชาติไทย” ที่กลับมากอบกู้ศรัทธาจากแฟนบอล ส่วน “ชนาธิป” ชี้เราพร้อมไปลุยระดับเอเชียแล้ว

ความเคลื่อนไหว “ช้างศึก” ทีมชาติไทย  หลังจากผงาดขึ้นเถลิงบัลลังค์แชมป์ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020” สมัยที่ 6 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ หลังดับ “ทีมชาติอินโดนีเซีย” ได้ด้วยกสอร์รวม2 นัด  6-2  (นัดแรก ไทย ชนะ 4-0 และ นัดที่สอง เสมอ 2-2) และ ชนาธิป สรงกระสินธ์   คว้าตำแหน่ง “นักเตะยอดเยี่ยม” พ่วง “ดาวซัลโว” ร่วมกับ “ธีรศิลป์ แดงดา” 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา ขุนพลนักเตะ “ช้างศึก”ชุดแชมป์ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020” ทีมชาติไทย ซึ่งนำโดย “มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม  “มาโน่ โพลกิ้ง” กุนซือใหญ่  ได้เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ที่สนามบินนานาชาติ สุวรรณภูมิ เรียบร้อยแล้ว สายการบินไทยสมายแอร์เวย์  เที่ยวบินที่ WE 8703 ท่ามกลางบรรยากาศการต้อนรับอย่างอบอุ่น ท่วมกลางสื่อมวลชน ร่วมถึงแฟนบอลทีมชาติไทย ที่มาปักหลักรอรายงานการเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย  

ด้วยสถานการณ์ของการระบาดจากโรคติดเชื้อโควิด19   ทำให้สื่อถูกจำกัดพื้นที่ในการปักหลักรอคณะ   ทั้งนี้ในการเดินทางกลับมาถึงไทย ทางฝ่ายประสานได้แจ้งว่า พยายามที่จะทำให้ทุกอย่างเรียบง่ายที่สุด  เพื่อความปลอดภัยและป้องกันโรคติดเชื้อ   กระบวนต่างๆ ทั้งการแถลงข่าวหรือ อื่น ๆ จะเน้นระยะห่างเท่าที่จะทำได้

ด้าน “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมชาติไทย เปิดเผยว่า ก่อนอื่นพวกเราในฐานะผู้เล่น และทีมงานของทีมชาตืไทย ทุกคนต้องขอชอบคุณ พี่น้องแฟนบอลชาวไทย และสื่อมวลชนทุกคนที่ ที่มารอให้การต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่นในครั้งนี้  เพราะการคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ในครั้งนี้ถือเป็นเกียรติประวัติของ พวกเราทุกคน และถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้แฟนบอลไทยทุกคน 

“แป้งคิด แชมป์ซูซูกิ คัพ ครั้งนี้น่าจะเป็นก้าวแรกของนักเตะ“ทีมชาติไทย” ในการกู้วิกฤติ และศรัทธาฟุตบอลไทยให้กับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้ได้ ถ้วยนี้เป็นสเตปแรกพวกเราทุกคน” 

ด้าน “ชนาธิป สรงกระสินธ์” กัปตันทีม “ช้างศึก” ทีมชาติไทย กล่าวว่า “ที่ผ่านมาในการแข่งขันครั้งนี้ต้องบอกว่า ผมเองต้องขอขอบคุณทุกกำลังใจจากแฟนบอลทุกคน แต่ที่สำคัญที่สุดผมอยากจะขอบคุณทีมงานแพทย์ หมอก้อง และ ทีมงานนักกายภาพ ที่เสียสละมากๆ   นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณ พี่ตอง,พี่บอย,เอเลียส และ ทอม เบียรห์ ที่เสียสละทำให้ให้ทีมเราประสบความสำเร็จอย่างมากในครั้ง แน่นอนครั้งนี้พวกเราได้พิสูจน์พวกเราจะก้าวไปสู้กับทีมในเอเชียในอนาคตได้” 

สำหรับเส้นทางของทีมชาติไทยสู่ตำแหน่ง แชมป์ ซูซูกิคัพ 2020

รอบแบ่งกลุ่ม  ทีมชาติไทย อยู่ในกลุ่ม เอ   โดยมีทีมร่วมสาย คือ  ทีมชาติสิงคโปร์ เจ้าภาพ , เมียนมา , ฟิลิปปินส์ และ ติมอร์ เลสเต   ไทยลงเล่นในรอบแบ่งกลุ่ม  ชนะ  ทั้ง 4   นัด  คือ ชนะ ติมอร์ เลสเต 2-0    , ชนะ  เมียนมา 4-0  , ชนะ ฟิลิปปินส์   2-1  และ  ชนะ เจ้าภาพ สิงคโปร์   2-0  ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ    

รอบรองชนะเลิศ ทีมชาติไทย  ในฐานะจ่าฝูงกลุ่ม เอ  พบกับ ทีมชาติเวียดนาม ทีมอันดับ 2 ของกลุ่มบี   เจ้าของผลงานแชมป์เก่า  ปี 2018   ซึ่งทีมชาติไทย เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ รวม 2 นัด  (นัดแรก ไทยชนะ 2-0, นัดที่ 2 เสมอ 0-0 

รอบชิงชนะเลิศ “ทีมชาติไทย” ชนะ อินโดนีเซีย  ด้วยสกอร์รวม 2 นัด  6-2 (นัดแรก ไทย ชนะ 4-0, นัดที่ 2 เสมอกัน 2-2)

สำหรับทีมชาติไทย  ทำผลงานคว้าแชมป์ฟุตบอลอาเชียน มากที่สุดในบรรดาชาติอาเซียน 6  สมัย ในปี 1996 , 2000,2002, 2014 ,2016 และ 2020

ทั้งนี้ การคว้าแชมป์ เอเอฟเอฟซูซูกิคัพ ในครั้งนี้  ทำให้ทีมชาติไทย   ได้รับเงินอัดฉีด คิด เป็นวงเงินรวม ไม่ต่ำกว่า  46  ล้านบาท   แบ่งเป็นเงินสนับสนุุน ที่มาจาก  พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง   นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย  10 ล้านบาท ,  นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมชาติไทย  ที่ระดมทุนจากผู้สนับสนุน 26  ล้านบาท  และเงินรางวัลจากฝ่ายจัดการแข่งขัน 10 ล้านบาท