ชิน แต ยัง กุนซือ “อิเหนา” อินโดนีเซีย ยอมรับ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย คือไร้จุดอ่อน แต่การที่เราเขามาถึงรอบชิงชนะเลิศไม่ใช่เรื่องง่ายๆและตนจะไม่ยอมปล่อยแชมป์ให้หลุดมือ พร้อมประสบการณ์เคยคว้าแชมป์มามากกว่า 20 ครั้ง ถ่ายทอดให้นักเตะเพื่อไปให้ถึงแชมป์
ตามที่สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน จัดงานแถลงข่าวก่อนการแข่งขันฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 รอบชิงชนะเลิศ เลกแรก คู่ระหว่าง ทีมชาติไทย กับทีมชาติอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2564 โดยมี ทีมชาติอินโดนีเซีย ส่ง ชิน แตยัง เฮดโค้ชเข้าร่วมการแถลงความพร้อมในครั้งนี้
โดยเฮดโค้ชชาวเกาหลีใต้ ของอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า สิ่งแรกที่ตนต้องการคือพา “อินโดนีเซีย” คว้าแชมป์ให้ได้ การจะเข้าชิงชนะเลิศ ได้มันไม่ใช่ว่าเข้ามาแล้วจะได้แชมป์เลย เพราะการจะเป็นแชมป์ เราทำงานอย่างหนัก และไม่ปล่อยโอกาสแน่นอน ในฐานะผู้เล่นและโค้ชตนผ่านการเป็นแชมป์มามากกว่า 20 ครั้ง จะถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับผู้เล่นเพื่อให้ได้ชัยชนะในรอบชิงชนะเลิศ
- มาโน่ ยันไม่ประมาท "อินโดฯ" ย้ำขาด "อุ้ม" ไม่ใช่ปัญหาคนอื่นแทนได้
- สารัช ชี้ "ช้างศึก" ต้องเล่นตามสไตล์ตัวเอง อินโดฯไม่มีอะไรน่ากลัว
- นักธุรกิจอินโดฯ อัดฉีด 1 พันล้านรูเปียห์ ทัพ “การูด้า” คว่ำ "ไทย"
“แน่นอนทีมชาติไทยพวกเขาเป็นทีมที่แข็งแกร่ง มีผู้เล่นที่มีคุณภาพ ไม่สามารถมองหาข้อเสียของทีมชาติไทยได้เลย แต่อะไรก็เกิดขึ้นในนัดชิงชนะเลิศ สิ่งที่ผมสามารถบอกได้ในตอนนี้คือทีมชาติไทยเป็นทีมที่ดีเท่านั้น”
“ที่ผ่านมาเรา (อินโดนีเซีย) ได้มีการการฟื้นฟูร่างกายเป็นปัญหาเช่นกันเพราะลงเล่น 120 นาทีในเกมล่าสุดมา แต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดีและไม่มีอะไรน่ากังวล” กุนซือชาวเกาหลีใต้กล่าว
ขณะเดียวกันกุนซือทีมชาติอินโดนีเซีย ยังได้เปิดเผยถึงประเด็นที่ทีมขาติไทย จะขาด 2 ผู้เล่นตัวหลักอย่าง ธีราทร บุญมาทัน และ “บอย” ฉัตรชัย บุตรพรม ว่า แน่นอนว่าทีมชาติไทย ต้องกังวลกับการขาดผู้เล่นตัวหลักมากกว่าที่อินโดนีเซีย แต่ทีมอินโดนีเซียก็จะไม่มี ปรัทมา อาร์ฮาน แบ๊กซ้ายที่ติดโทษแบนเช่นกัน อย่างไรก็ตามสุดท้ายคิดว่าทั้ง 2 ทีมคงไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่นัก
ด้าน เอกี เมาลานา กองกลางของอินโดนีเซีย กล่าวว่า ถึงแม้จะพลาดแชมป์ใน 5 ครั้งก่อน แต่ในฐานะผู้เล่นไม่ได้กดดันมากขึ้น ทุกคนมีเป้าหมายที่จะคว้าแชมป์ให้ได้ เพราะอินโดนีเซียต้องการเปลี่ยนแปลงมันในครั้งนี้ และต้องการเป็นแชมป์ให้ได้
แสดงความคิดเห็น