จากวิธีการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ด้วยอวัยวะของร่างกาย หมัด เท้า เข่า ศอก กลายเป็น "มวยไทย" อันลือเลื่อง จนเป็นที่มาของคนทำสารคดีมวยไทยทีมเล็กๆ ที่กำลังเดินหน้าบอกเล่าเรื่องราวของนักมวยไทย ที่มากกว่าความเป็นแม่ไม้และศาสตราวุธบนสังเวียน
หลังจากที่นโยบาย 5F อันประกอบด้วย Food , Fashion , Festival’s , Film และ Fights หรือที่เรียกกันว่า Soft Power ภายใต้การผลักดันของรัฐบาลให้เกิดเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เชื่อว่าแฟนมวยและบุคลากรทางการมวยหลายคน หลายค่าย อาจจะได้เคยเห็นหรือเคยร่วมงานกับทีมสารคดีมวยไทยกลุ่มเล็กๆ ที่อาจจะเรียกว่าเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ผลิตสารคดีมวยไทยเมื่อหลายปีก่อนกลุ่มนี้มาบ้างแล้ว
สารคดีมวยไทย ถือได้ว่าเป็นการใช้ Soft Power ผ่าน F - Film และ F -Fight เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของมวยไทย ที่เป็นมากกว่าการต่อสู้ให้นานาชาติได้เห็นอย่างน่าประทับใจ
วันนี้จึงถือเป็นโอกาสที่ดี ที่รองอ๊อดจะขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับแนวคิดและที่มาที่ไปของคนทำงานกลุ่มนี้
รองอ๊อด สารคาม : จะอยากจะให้ช่วยแนะนำตัวและเล่าที่มาที่ไปให้ฟังถึงเหตุผลในการเป็นผู้ผลิตสารคดีมวยไทย ซึ่งน่าจะเป็นทีมแรกๆ ของวงการมวยไทยที่มีอยู่ในตอนนี้ ?
“สวัสดีค่ะ ชื่อสิริกร เอกกมลลักษณ์ นะคะ คนในวงการมวยก็จะรู้จักกันในชื่อเล่นว่าพี่ป๊อก ซึ่งก็มีหน้าที่กำกับสารคดีและเป็นครีเอทีฟไปด้วยในคนเดียวกัน เหตุผลตั้งต้นเกิดจากการได้มารับหน้าที่ในศึกมวยรอบรายการหนึ่ง ของช่อง 7 สี เมื่อประมาณปี 2556
หลังจากที่ใช้เวลาในการคลุกคลีกับมวยไทยและนักมวยไทย เราก็ได้พบว่าเสน่ห์ของมวยไทย ไม่ได้มีแค่เพียงการใช้แม่ไม้มวยไทยเพื่อการเอาชนะในการแข่งขัน แต่ในแต่ละครั้งที่นักมวยขึ้นชก จะประกอบไปด้วยบริบทรายล้อมอีกหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นครูมวย ครูฝึก ค่ายมวย โปรโมเตอร์ ผู้สนับสนุน แฟนมวยหรือ FC ที่คอยเป็นกำลังใจ ครอบครัวอันเป็นที่รัก รวมไปถึงหัวจิตหัวใจของตัวนักมวยเอง ที่จะต้องอดทนและฝ่าฟัน ต่อแรงเสียดทาน ความกดดัน เมื่อผลการแข่งขันไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายอยากให้เป็น หรือแม้แต่การควบคุมดูแลจิตใจไม่ให้เตลิดไปกับสิ่งเร้าในยามที่ชีวิตประสบความสำเร็จขั้นสูงสุด และทั้งหมดนี้เราจะเรียกมันว่า “เรื่องราว “ ซึ่งล้วนแต่มี “เสน่ห์และความงดงาม” ไม่แพ้อาวุธที่เรียกว่าแม่ไม้มวยไทยบนสังเวียนเลย
นี่คือสิ่งที่ได้พบเห็นและเกิดความประทับใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนกระทั่งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2560 ได้มีความคิดที่จะเป็นผู้ผลิตสารคดีมวยไทยด้วยตัวเอง จึงได้ลาออกจากงานประจำ ซึ่งตอนนั้นก็ได้ทำงานอยู่ในตำแหน่ง Content Creator ของบริษัทผลิตสารคดีชื่อดังแห่งหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีเป้าหมายและมีความสุข ด้วยความที่รักมวยไทยเป็นทุนเดิม Passion ที่เกิดจากการได้พบ ได้คุย ได้สัมภาษณ์นักมวยและนำไปสร้างให้เกิดเป็นสารคดีมวยไทย จึงได้เกิดความหลงไหล และหลั่งไหล ออกมาอย่างพร่างพรูในทุกๆวัน จนแทบจะเรียกได้ว่า มวยไทยกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ซึ่งตอนนี้ก็เลยได้มีโอกาสรับผลิตหรือเป็นมือปืนรับจ้างให้กับหลายๆ ที่ที่เค้าจะส่งสารคดีมวยไทยไปขายเมืองนอกอีกด้วย ”
รองอ๊อด สารคาม : อะไรคือความยากในการผลิตสารคดีมวยไทย ?
“โดย 90% ของนักมวยไทยคือที่ฐานะทางบ้านขัดสน เด็กๆ ต้องจากอ้อมอกพ่อแม่ไปชกมวยเพื่อหารายได้ เรียนจบบ้าง ไม่จบบ้าง ประสบความสำเร็จบ้างไม่ประสบความสำเร็จบ้าง จะคล้ายๆ กันหมด
ซึ่งการเป็นผู้กำกับสารคดีมวยไทย จะต้องมีคุณสมบัติในการจับประเด็น เข้าให้ถึงหัวใจ และเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี ในการสร้างความต่างให้กับนักมวยแต่ละคน
การที่จะเล่าชีวิตของนักมวยแต่ละคนให้เกิดความแตกต่างและมีเสน่ห์น่าชม จึงต้องเกิดจากการสนิทสนมคุ้นเคย รู้จักตัวตน นิสัยใจคอ ติดตามชมการแข่งขัน เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดไปตีความและหาแกนของเรื่องให้ชัด ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทิ้งส่วนอื่นๆ ของชีวิตในน้ำหนักและสัดส่วนของการเล่าเรื่องที่เหมาะสม ซึ่ง 5 F อันเป็น Soft Power และเป็นวิถีชีวิตอันเป็นปกติของตัวนักมวยเองก็ต้องเก็บมาเล่าประกอบให้ครบ
อีกเรื่องที่สำคัญคือ แม้ความตั้งใจจะให้สารคดีมวยไทย เป็นการพูดถึงในแนวบวก แต่การเล่าเรื่องของนักมวยที่ไม่ยัดเยียดในการสร้างให้เค้าเป็นฮีโร่จนเกินจริง หรือการใช้เรื่องเล่าอันเป็นชีวิตจริงๆ จนทำลายนักมวยให้เกิดเป็นภาพลบ ก็เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจและต้องระวัง เพราะเรามีเป้าหมายว่า เรื่องชีวิต จะต้องสอนชีวิต แม้จะน้ำตานองทั้งเรื่อง แต่สุดท้ายจะต้องเป็นการร้องไห้ออกมาเพราะตื้นตันใจและภาคภูมิใจ
อย่างที่บอกว่าเราใส่ใจทุกรายละเอียด ในการเล่าเรื่องของแต่ละคน เราจึงใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนในการถ่ายทำ เพราะเราเชื่อว่า วันเวลาและระดับของกำลังใจของชีวิต อาจจะนำพาสิ่งที่เหลือเชื่อให้เกิดขึ้นได้ แม้ว่ายามนั้น นักมวยคนนั้นอาจจะมีวิกฤติบางอย่างเกิดขึ้น จนแทบจะชกมวยต่อไปไม่ได้อีกแล้วก็ตาม
เป็นความโชคดีอีก 1 อย่างที่มีทีมงานที่เก่งทุกคน ทุกคนล้วนมีประสบการณ์ในการทำสารคดีหรือมีความรู้ของมวยไทยในหน้าที่ของตัวเองมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีเป็นอย่างน้อยโดยเฉพาะช่างภาพ (สันติ จันทรเรนทร์) ที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเลนส์ออกมาได้อย่ามีชีวิตและช่างตัดต่อ (รุจน์จินากร ไชยหาญ) ที่สามารถลำดับการเล่าเรื่องที่สร้างอารมณ์ร่วม และอินไปกับเรื่องราวได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรบุคคลที่เก่งมาก
รวมถึงการได้รับเกียรติจากที่ปรึกษาในเรื่องรายละเอียด เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของนักมวยไทย หลายๆ แง่มุม ซึ่งบางครั้งบางเรื่อง อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยรู้ด้วยซ้ำว่าคนที่จะเป็นนักมวยได้ ต้องผ่านช่วงชีวิตมาแบบนี้มาก่อน ซึ่งที่ปรึกษาที่ดีมากอีก 2 ท่านคือครูเป็ด เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง และครูป้อม วัชรินทร์ รัชนิพนธ์ ที่มาช่วยคัดกรองในเรื่องข้อมูลและความถูกต้องต่างๆ ที่เป็นความรู้ระดับลึกของแม่ไม้มวยไทย และประวัติศาสตร์มวยไทย รวมไปถึงสปอนเซอร์ที่คอยเป็นแบ็คอัพ หรือเส้นเลือดใหญ่ตลอดกาล เช่นคุณสมาน บุญยอ ที่ได้ออกปากจะสนับสนุนมวยไทยอย่างเต็มกำลัง
เมื่อมีทีมที่ดี มีแหล่งข้อมูลที่ดี มีเรื่องราวชีวิตของนักมวยที่น่าสนใจ งานที่ออกมาก็เลยเป็นไปตามภาพที่วาดเอาไว้ทุกอย่าง ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ”
รองอ๊อด สารคาม : อะไรคือความมุ่งหวังของการผลิตสารคดี ?
“ก็อยากให้สารคดีมวยไทยทุกเรื่องเป็นสะพานที่ทอดยาวจากวิถีมวยไทยเพื่อเชื่อมไปยังนานาชาติ ในขณะที่ทั่วโลกสนใจในศาสตร์แม่ไม้มวยไทย อันเป็นที่รู้กันว่ามวยไทยคือศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุดแขนงหนึ่งของโลก เราก็อยากให้เค้าได้รับรู้ถึงความงดงามตามแบบอย่างที่มวยไทยได้เป็นมาไปพร้อมๆกันด้วย ซึ่งการเล่าเรื่อจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือในส่วนของสังเวียน และส่วนของชีวิต
ส่วนตัวคิดว่ามวยไทยเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่จะกลายเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างดีของไทยในหลายแง่มุม รวมถึงอยากให้รู้ไปถึงรากเหง้าแห่งชีวิตของนักมวยไทย ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอยู่ของนักมวยจากค่ายมวยมาตรฐานในเมืองใหญ่ ความเป็นอยู่ของนักมวยในถิ่นชนบทไกลๆ ความสุขของนักมวยที่เป็นชาวชาติพันธ์ ความเป็นธรรมดาและเป็นมิตรของนิสัยใจคอ ความงามของธรรมชาติ และการกินอยู่ ความน่ามหัศจรรย์การใช้ชีวิต การสร้างความมุ่งมั่นในหัวใจ และอีกหลายๆ อย่างที่ต่างชาติควรจะได้รู้จัก
ทีมโปรดักส์ชั่นหลายๆ ประเทศที่เคยได้ร่วมงาน เค้ารู้สึกทึ่งในหลายๆ อย่างที่นักมวยไทยของเราเป็น ทุกทีมมาด้วยหัวใจที่รักมวยไทย แต่สิ่งที่ได้กลับไปมันมากกว่านั้น นอกจากความเก่งกาจ การฝึกซ้อม การแพ้ชนะ เค้ายังได้จิตวิญญาณแห่งความเป็นมวยไทยที่แท้จริงกลับไปด้วย”
รองอ๊อด สารคาม : พูดถึงโปรเจ็คล่าสุด ? “ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อปลายปีที่แล้วเป็นทีมมาจากฮอลลีวูด ก็เป็นทีมที่เก่งและละเอียด เราก็ได้เรียนรู้การทำงานจากเค้าหลายอย่างมาก แต่เนื่องจากเราเป็นสายสารคดีที่ไม่ค่อยเน้นทำซีน ก็เลยต้องอธิบายกันเยอะหน่อย ซึ่งเค้าก็เข้าใจในการที่จะได้ หรือไม่ได้ในซีนที่เค้าต้องการ เหตุผลส่วนหนึ่งก็อาจจะด้วยเรามีขนบ ประเพณีตามแบบไทยของเราอยู่เอง แต่เรามีซีนที่เป็นชีวิตจริงๆ ชดเชยให้ไป ซึ่งในการไปถ่ายทำนักมวยหญิงคู่แรกของลุมพินีในตอนนั้น คุณพ่อชำนิ และน้องเสน่ห์จันทร์ รวมทั้ง น้องบัวขาว คู่ชกของน้องเสน่ห์จันทร์ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไทยในแง่มุมต่างๆ ได้อย่างน่ารักและประทับใจทีมงาน และครั้งนั้นก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดีงานล่าสุดในอนาคตอันใกล้นี้ ก็เป็นงานสารคดีมวยไทยของต่างประเทศเหมือนกัน เป็นของมาดาเก๋ (คุณเก๋ ณัฐปภัสร์ สุภัสสราโภคิน) แห่งพยัคโฆ ของคุณเก๋จะเน้นมวยหญิง สวยงามแต่ทว่าแข็งแกร่ง คุณเก๋ก็เป็นผู้หญิงเก่งในวงการมวยอีกคนหนึ่ง ที่มีความแน่วแน่ในการสนับสนุนมวยไทย คุณเก๋นี่แม้จะหน้าใหม่ แต่แข็งแรงในเรื่องตลาดต่างประเทศ มี Contact อย่างเหนียวแน่นกับประเทศจีนและประเทศญี่ปุ่น รวมถึงทางยุโรปอีกหลายประเทศ ก็เป็นบุคลากรทางการมวยอีกคนที่เชื่อว่าจะเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ที่จะช่วยกันขับเคลื่อนให้มวยไปก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
และตอนนี้ยังรวมไปถึงการผลิตสารคดีมวยไทย ที่เตรียมจะนำไปเสนอทางช่องโทรทัศน์ของไทยเราด้วย ซึ่งทำสต็อกไว้หลายตอนแล้ว ถ้าทุกคนได้ชม เชื่อเหลือเกินว่าจะได้รับพลังบวกและแรงบันดาลใจที่ดีในการมองชีวิตมากขึ้น
คิดหวังไว้ว่านะคะ ในอนาคตอันใกล้ถ้าหลายๆ ฝ่ายช่วยกันอย่างแข็งขัน เมืองไทยก็จะยังคงเป็นศูนย์กลางของมวยไทยอย่างมั่นคงเช่นเดิม”
รองอ๊อด สารคาม : สุดท้ายอยากจะกล่าวอะไร?
“จริงๆ แล้ววงการมวยไทยของเรามีดีเยอะนะคะ เรามีนักข่าวหลายท่านที่ถ่ายรูปมวยไทยสวยมาก ภาพมวยไทยจากฝีมือช่างภาพที่คลุกคลีกับมวยไทย จะเป็นภาพถ่ายที่มีจิตวิญญาณ มีชีวิตชีวา ซึ่งภาพเหล่านี้เป็นที่ต้องการในสายโฆษณาในต่างประเทศ ที่สามารถจะต่อยอดออกไปได้ เรามีนักข่าวสายมวยที่รู้เรื่องมวยไทยในระดับแฟนพันธุ์แท้ และนักข่าวท่านอื่นๆ ที่วิเคราะห์มวยไทยได้ในระดับลึก ทั้งเรามีเซียนมวยที่แสดงทัศนะของมวยไทยก่อนการชกในแต่ละครั้งได้อย่างแม่นเหลือเชื่อ เรามีสนามมวยที่เป็นตำนานถึง 3 สนาม นั่นคือ เวทีลุมพินี , ราชดำเนิน , และรังสิต เรามีนักมวยหญิง นักมวยชายที่มีเรื่องราวเฉพาะเป็นของตัวเอง และทัศนคติที่ดีในการอนุรักษ์มวยไทย อย่างแข็งขัน และเรามีบุคลากรทางการมวยที่พร้อมอย่างยิ่งในการที่จะร่วมกันผลักดันมวยไทยให้ยังคงอยู่ เรามีคนไทย ที่รัก และรักษ์ มวยไทย นี่คือทรัพยากรทางปัญญาที่พร้อมมาก
หากท่านใดมีช่องทางในการขายคอนเทนท์ไปยังต่างประเทศ อยากจะให้ช่วยในเรื่องใดก็ยินดีนะคะ ยินดีมากๆ ที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่จะสามารถไปต่อยอดได้ด้วยตัวเอง ช่วยๆ กันค่ะ เพื่อมวยไทยของคนไทย ยินดีมากๆ ขอบคุณพี่รองอ๊อดมากค่ะ”
รองอ๊อด สารคาม
แสดงความคิดเห็น