คนวงการมวยต้อง“ก้มหน้า” และ “กัดฟัน” รับชะตากรรม ถูกผู้คนชิงชัง รังเกียจ ความจริงนี่ก็มากเกินพอแล้ว แต่ดูเหมือนว่า ภาครัฐฯ ได้แสดงนำ รังเกียจ การประกาศแต่แรกแล้วว่า “มวย” เป็นเฟสสุดท้าย ที่จะได้รับการปลดแอก

 

นับแต่ แมทธิว ดีน นักแสดง พิธีกร และอดีตนักร้องดัง ประกาศต่อสาธารณชนทางโลกโซเชี่ยล โดยได้โพสต์คลิปประกาศผ่านทางไอจีส่วนตัวว่าตนเองติดเชื้อโควิด-19 จากสนามมวย เวทีลุมพินี ที่เจ้าตัวรับงานเป็นพิธีกรรายการมวยนัดยิ่งใหญ่ “ศึกลุมพินีแชมป์เปี้ยนเกียรติเพชร ณ สนามมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 6 มีนาคม และ เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค. กลายเป็นกระแสข่าวลือลั่นสนั่นทั้งแผ่นดินสยาม

ถัดจากนั้น 2 วัน ทางการได้มีคำสั่ง ปิดสนามมวยทั่วทั้งประเทศ ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคมเป็นต้นมา

กระแสเชื้อไวรัส โควิต-19 ที่กระพืดพัดไปทั่วทั้งโลก ต่อมาประเทศไทย ก็ไม่ต่างกัน ถึงขั้นปิดเมือง ปิดประเทศ ดูเหมือนว่า ปฐมบท โควิด-19 ถูกโยนใส่ที่คนวงการมวย

 แม้ก่อนหน้านี้จะมีคนไทยผู้ติดเชื้อมาแล้ว และในห้วงเวลาคาบเกี่ยวกันนั้นก็มีผู้ติดเชื้อสถานที่อื่น คือจากแหล่งสถานท่องราตรีรวมอยู่ด้วยก็ตาม แต่กระแสความดังไม่อาจเปรียบเทียบได้เท่ากับ ชื่อเสียงของ แมทธิว ดีน และ จำนวนคนที่ถูกเปิดเผยจากวงการมวย

บรรดาแฟนมวยขาเล็ก ขาใหญ่ หัวหน้าคณะ รวมไปถึงสื่อมวลชนสายกำปั้น ก็ทยอยกันประกาศว่าตัวเองได้ติดเชื้อวายร้าย โควิด-19 อย่าง องอาจ กล้าหาญ ผ่าเผย ตามแบบฉบับของลูกผู้ชาย เพื่อให้สมกับสังคมมวยที่พวกเขาคลุกคลีตีโมงอยู่มาค่อนชีวิต หวังชี้ให้ทุกคนเห็นว่าบุคลิกของคนวงการมวยนั้น.. ปาก-ใจ..ตรงกัน

และ หนึ่งในจำนวนผู้ติดเชื้อไปกับเขาด้วย เป็นนายสนามมวยเวทีลุมพินี พล.ต. ราชิต อรุณรังสี เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก รวมแล้ว คนวงการมวยมีผู้ติดเชื้อยอดทะลุเกินร้อย (ตามข้อมูลจาก ทนาย สุกฤษฎิ์ แพรกรีฑาเวศน์ ผู้รวบรวมคนวงการมวยที่ได้รับเชื้อระบุบว่า มีผู้เปิดเผยชื่อตัวเองติดเชื้อทั้งหมด 118 ราย ภายหลังสืบทราบว่า ยังมีผู้ติดเชื้อแต่ไม่ประสงค์แสดงตัวอีกราวสามสิบกว่าราย มีบางคน ติดเชื้อ แต่พอเป็นข่าวโวยว่าไม่ได้ติด ต่อมาเมื่อรู้ว่าผู้ติดเชื้อจะได้รับเงินช่วยเหลือก็กลับบอกว่า ติดเชื้อจริงๆ...เฮ้อ ! ขออนุญาตแอบบ่น... )

แม้ว่าภายหลังผู้ป่วยเกือบทั้งหมดจะได้รับการรักษาจนหายได้หมด แต่ก็มีเรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่มีคนวงการมวยต้องสังเวยชีวิตไป 4 ราย  2 ใน 4 คนวงการมวยรู้จักกันดีคือ “อื้อ อพอลโล่ “ หรือ นายมงคล เสถียรวราภรณ์ เซียนมวย และอดีตหัวหน้าคณะ “อพอลโล่” เซียนมวย “ซื้อ-ขาย ราคา” ยุคบุกเบิก จากไปด้วยวัย 74

และ “บังโซ้บ” ประสบ สุมาลี เจ้าหน้าที่อาวุโสเวทีราชดำเนินวัย 84 เจ้าหน้าที่ผู้โอบอ้อมอารีย์ ขวัญใจสื่อสายมวย (  SMM SPORT ขอแสดงความอาลัย ณ โอกาสนี้)

วงการมวยถูกมองว่าเป็นปฐมเหตุแห่งการเผยแพร่เชื้อไวรัส-19 ภายในประเทศ ถูกตราหน้าตกเป็น “จำเลยที่หนึ่ง” ของสังคมไปโดยปริยาย

ทางการมีคำสั่งงดการแข่งขันชกมวยไทยทั่วราชอาณาจักร ไม่มีกำหนด ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม เป็นต้นมา

ห้วงเวลาแห่งความทุกข์ระทมตรมตรอม อยู่อย่างคน อกไหม้ ไส้ขม แม้จะประกาศอย่างผู้กล้าว่า ข้าติดเชื้อ..เพื่อตีแผ่ความจริงใจด้วยการเอาอนาคต และชีวิตเข้าแลก ด้วยหวังว่าจะได้รับความชื่นชม หรืออย่างน้อยๆ ก็ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากสังคมภายนอกกลับคืนมาบ้าง แต่กลับถูกมองด้วยสายตาชิงชังรังเกียจ ไปที่ไหนถ้าใครรู้ว่า เป็นคนวงการมวย ล้วนเมินหน้าหนีห่าง

ไม่ว่ากัน เพราะเราเข้าใจบุคคลภายนอก  แม้เกือบจะทุกคน(ที่ไม่ได้ติดเชื้อ)ยังสมัครใจ “กักตัวเอง 14วัน”  ถึงผลตรวจพิสูจน์จะออกมาเป็น “ลบ” ก็ตามที

กระนั้นถึงเวลาล่วงเลยไปแล้วแรมเดือนนับจากวันที่ 6 มีนาคม หรือนับจาก แมทธิว ดีน ประกาศตัวเองติดในวันที่ 13 มีนาคม ผู้คนทั่วไปก็ยังไม่มีใครกล้าใกล้ชิดคนวงการมวยอยู่ดี

เศรษฐกิจทรุดฮวบ ประชาชนคนไทยพากันยากลำบาก คนวงการมวยก็ไม่ได้แตกต่าง แถมน่าจะยิ่งยากลำบากยิ่งกว่าเกณฑ์เฉลี่ยที่ผู้คนได้รับด้วยซ้ำ

เพราะเมื่อไม่มีรายการมวยชก รายได้ก็เท่ากับ “ศูนย์”  ศูนย์ในที่นี้คือ สูญสิ้นจริงๆ นักมวย หัวหน้าคณะ โปรโมเตอร์ และธุรกิจต่อเนื่อง เช่น อุปกรณ์มวย พ่อค้า แม่ขาย

แต่ทุกคนก็ “ก้มหน้า” และ “กัดฟัน” รับชะตากรรม ถูกผู้คนชิงชัง ความจริงนี่ก็มากเกินพอแล้ว แต่ดูเหมือนว่า ภาครัฐฯ แสดงนำความรังเกียจนี้ด้วยการประกาศแต่แรกแล้วว่า “มวย” เป็นเฟสสุดท้าย ที่จะได้รับการปลดแอก

กระนั้นพวกเหล่าคนวงการมวยก็ยังคงก้มหน้า....คอย....โดยมีลมหายใจเริ่มแรงและกระชั้นถี่ตามระยะเวลารอ

โดยระหว่างนั้น พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ได้ปลดคณะผู้บริหารเวทีลุมพินีทั้งหมด ถือเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบจากกรณีที่เกิดขึ้น แถมมีข่าวโยนกิจการเวทีลุมพินีให้เอกชนรับไปดำเนินการแทน ทำให้ถึงขณะนี้ เวทีลุมพินีจึงไม่มีกำหนดเปิด ต้องรอผู้บริหารเอกชนรายใหม่เข้าดำเนินกิจการเสียก่อน เพราะต่อไปนี้เวทีทหาร จะไม่ใช่ของทหารอีกต่อไป

วันเวลาแห่งความซึมเซา เศร้าสร้อย และแห้งแล้งผ่านไปเกือบ4 เดือน ในที่สุด เวทีมวยสยามอ้อมน้อย ก็เป็นเวทีแรกดิ้นรนจนได้รับการอนุญาตให้กลับมาจัดได้ ในวันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม แต่เป็นการจัดในระบบปิด คือไม่ให้แฟนมวยเข้าชม

แม้จะไม่ให้แฟนมวยเข้าชม แต่อย่างน้อยๆวงการมวยก็ถือว่าได้หายใจมีรูจมูกเปิดไว้ 1 รู  เวทีมวยอื่นที่มีช่องทางการถ่ายทอดสดก็ทยอยกันเปิดตามมาไม่ว่าจะเป็นเวทีมวยช่อง 7 สี เวทีราชดำเนิน เวทีธนกรยิม เวที อตก. เวที่ บลูอารีน่า และแม้แต่เวทีภูธรบางแห่งที่อาศัย ไลฟ์สด (ยกเว้นเวทีลุมพินี) 

เมื่อวันที่ 11-12 สิงหาคม มีข่าวว่า วงการกีฬาจะได้เฮ รัฐบาลจะปลดแอกให้จัดการแข่งขันแบบระบบเปิด (การแข่งขันฟุตบอล ใช้หลักให้แฟนเข้าชมได้ 1 ใน 4 ของความจุสนามเป็นเกณฑ์) กระนั้นก็คือว่าเป็น หน้าต่างบานแรกที่จะเปิดรับลมเย็น คนกีฬาและคนวงการมวยพากันร้องเฮกันล่วงหน้า

แต่แล้วสายๆของวันที่ 13 สิงหาคม ก็เหมือนฟ้าผ่า มีประกาศ ยังคงให้มวยไทยจัดระบบปิด ห้ามแฟนมวยเข้าชมตามเดิม 

พลันที่ใบประกาศแปะหน้าโลกโซเชี่ยล ปฏิกิริยาของคนในวงการมวยก็แสดงออกเป็นไปในทิศทางเดียวกัน  บ้างรายถึงกับประกาศไล่ วิบูณ  จำปาเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย นายทะเบียน ออกไป....เลยทีเดียว

ความขมขื่นที่ทุกคนอดทนกล้ำกลืนตลอดห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา 5 เดือน ..ดูเหมือนจะ สิ้นความอดทน หมดความอดกลั้นกันแล้ว และเตรียมแผนสเต๊ปต่อไป ยกระดับการประท้วงแน่นอน เพราะเหมือนกับว่า ผู้มีอำนาจตั้งใจรังแก คนวงการมวยเกินไป

แต่แค่ชั่วข้ามวัน รุ่งขึ้นวันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม ก็มีใบบอกแปะประกาศทางโลกโซเซี่ยล กลับลำ 180 องศา ยกเลิกคำสั่ง ลงวันที่ 13 สิงหาคม และอนุญาตให้จัดมวยในระบบเปิดได้เหมือนอย่างกีฬาประเภทอื่น แต่มีคำกำกับว่า “ต้องปฏิบัติตามคู่มือผ่อนปรนอย่างเคร่งครัด”โดยการลงนามของคนๆเดียวกัน วิบูณ จำปาเงิน  โดยมีผลทันทีตั้งแต่วันลงนามคำสั่ง  เวทีมวยสยามอ้อมน้อย เป็นเวทีแรกที่กลับมาจัดในระบบปิด( 4 ก.ค.) แต่เวทีมวยรังสิต เป็นเวทีแรกที่จัดแบบระบบเปิด

ใบประกาศกลับลำคำสั่งเดิมที่ตามจี้มาติดๆเพียงวันเดียวนี้เหมือนกับ นำ ฮ.ดับเพลิง มาดับไฟที่สุมในใจคนหากินกับวงการมวยไปได้ทันท่วงที

โลกของโซเชี่ยล มันรุนแรงและรวดเร็วปานนี้จริงๆ นับว่าโชคดีที่ท่านกลับลำได้ทันท่วงที

            ห้วงระยะเวลา 5 เดือนแห่งความระทมตรมตรอมเหมือนเผชิญอยู่ในทะเลทุกข์ มากเกินพอที่จะ ยอมค้อมหัวให้กับ ผู้หวังดีประสงค์ร้าย..อีกต่อไป..ไม่ว่าจะมีตำแหน่งอำนาจเพียงใด....

วงการมวยไทย จะเจริญเรืองรองดังทองทา หรือจะเสื่อมทรุดหลุดลงไปในขุมนรก ก็ขอให้อยู่ในมือของพวกเราคนมวยเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการกำหนด ...จริงมั้ยครับท่าน....