ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่แฟนบอลประทับใจอยู่นับไม่ถ้วน แต่นี่คือ 10 แมทช์ ที่ทั้งคลาสสิคและตื่นเต้นเร้าใจ แต่จะมีนัดไหนที่ตรงกับใจคุณบ้าง ลองไปทบทวนดูกัน

            ในที่สุดฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็กลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้งโดยที่ยังเหลือสุดยอดทีมในยุโรปอีกหลายทีมที่ไล่ล่าแชมป์รายการนี้ แต่ลิเวอร์พูล แชมป์เก่า กระเด็นตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปเรียบร้อยแล้ว ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ยอดทีมของยุโรปที่เข้าร่วมได้สร้างตำนานแมทช์คลาสสิคให้ได้ดูกันมากมาย  Daily Star Sport ได้หยิบยก 10 เกมแชมเปี้ยนส์ ลีกที่ถือว่าดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มาย้อนความทรงจำกันอีกรอบ

เรอัล มาดริด 1-4 อาแจ็กซ์ / 2018-19

            อาแจ็กซ์ ทีมจากดัตช์ มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการผลิตผู้เล่นอายุน้อยของตัวเอง อาแจ็กซ์คว้าแชมป์ยุโรป 4 สมัยซึ่งล่าสุดมาคือปี 1995 แต่พวกเขาจะดูตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับทีมยักษ์ใหญ่ของสเปนอย่างเรอัล มาดริด ที่คว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกมาครองได้ 13 สมัย สิ่งนี้ทำให้การเจอกันในปี 2019 ของทั้งคู่น่าทึ่งยิ่งขึ้นเมื่ออาแจ็กซ์มาถึงซานติอาโกเบอร์นาเบว และไล่ถล่มเจ้าถิ่นด้วยผลห่างประตูที่มากที่สุดในเกมรอบน็อคเอ้าท์สำหรับการเป็นเจ้าถิ่นในประวัติศาสตร์ของเรอัล มาดริด ชัยชนะ 4-1 ในคืนนั้นทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศสำหรับทีมอาแจ็กซ์ที่เต็มไปด้วยแข้งดาวรุ่ง

 

อาแจ็กซ์ 2-3 สเปอร์ส / 2018-19

            เกมการแข่งขันของอาแจ็กซ์ในแชมเปี้ยนส์ ลีก 2018-19 เป็นหนึ่งในสุดยอดเรื่องราวของฤดูกาล พวกเขาเกือบได้เข้าชิงชนะเลิศกับลิเวอร์พูลได้แต่ก็ต้องเจอท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ยืนขวางขวาง และหลังจากชัยชนะในเลกแรกทางตอนเหนือของลอนดอน อาแจ็กซ์ดูเหมือนจะผ่านเข้ารอบต่อไปได้ อย่างไรก็ตามการต่อสู้ที่ได้แรงบันดาลใจจากลูคัส มูร่า ในเลกที่ 2 ต่อด้วยประตูชัยในนาทีที่ 96 ก็เพียงพอที่จะทำลายความฝันของอาแจ็กซ์ในการเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรป สเปอร์สได้ไปเจอกับลิเวอร์พูลในรอบชิงชนะเลิศที่กรุงมาดริดด้วยกฏประตูทีมเยือน 

 

ลิเวอร์พูล 4-0 บาร์เซโลน่า / 2018-19

            แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2018-19 สร้างเรื่องราวที่น่าทึ่งเอาไว้มากมาย แต่ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าการแข่งขันรอบรองชนะเลิศระหว่างบาร์เซโลน่าและลิเวอร์พูล จากการนำ 3-0 ในเลกแรก สโมสรแห่งคาตาลันมาที่แอนฟิลด์โดยที่รู้ว่า ผลการแข่งขันใดๆ ที่น้อยกว่าความพ่ายแพ้ 4-0 จะทำให้พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ การเตะมุมเร็วของเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, สัญชาตญาณกองหน้าอันยอดเยี่ยมของดิว็อค โอริกี้ มีส่วนทำให้หงส์แดงพลิกนรกกลับมา บาร์เซโลน่าต้องพบว่าตัวเองเป็นฝ่ายตามหลัง 3-0 ทำให้ทั้งสองทีมเสมอกันในผลรวมโดยที่เหลือเวลาการแข่งขันอีกกว่าครึ่งชั่วโมง จากนั้นก่อนหมดเวลา 10 นาที อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เห็นโอกาสที่จะส่งบอลให้โอริกี้ในเขตโทษในขณะที่บาร์เซโลน่ากำลังจัดเกมรับเพื่อป้องกันลูกเตะมุม มันเป็นสัญชาตญาณแห่งการตัดสินใจที่แล่นเข้ามาในชั่ววินาทีและโอริกี้ก็เปลี่ยนเป็นประตูส่งลิเวอร์พูลเข้าชิงและคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 

 

เรอัล มาดริด 4-1 แอตเลติโก้ มาดริด / 2013-14

            เมื่อเรอัล มาดริดเข้าใกล้รอบชิงชนะเลิศในยุโรปอีกครั้งในปี 2014 ความคาดหวังของ "ลา เดซิม่า" หรือการคว้าแชมป์ยุโรปของพวกเขาเป็น "ครั้งที่ 10" ก็มีความเป็นไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาถึงรอบชิงชนะเลิศคู่ต่อสู้ของพวกเขาคือแอตเลติโก้ มาดริด คู่ปรับร่วมเมืองที่ทำลายความฝันในการคว้าแชมป์ลา ลีก้า ของพวกเขาไปแล้ว ประตูของ ดิเอโก โกดิน ในครึ่งแรกทำให้ทัพ 'ตราหมี' นำไปก่อนและรักษาสกอร์นำไปได้ตลอดเกม จนกระทั่งช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 93 เซร์คิโอ รามอส มาโหม่งตีเสมอให้มาดริดได้ในนาที 90+3 ทำให้เกมเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที ตอนนั้นแอต.มาดริด ดูอ่อนล้าและหมดแรง ส่วนคู่ปรับ กลับมีแรงฮึดจากการกลับมาได้ของพวกเขา และในช่วงต่อเวลานี้เอง ที่ 'ราชันชุดขาว' มากดอีก 3 ประตูจาก แกเร็ธ เบล, มาร์เซโล่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำให้จบเกมเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 4-1 คว้าแชมป์ "ลา เดซิม่า" ได้สำเร็จ

 

บาร์เซโลน่า 6-1 เปแอสเช / 2016-17

            ถ้าปี 2014 เป็นปีของ "ลา เดซิม่า" แสดงว่าปี 2017 ก็เป็นปีของ "ลา เรมอนตาด้า" (La Remontada) หรือ 'การคัมแบ็ค' หนึ่งในการคัมแบ็คของแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่งดงามที่สุดตลอดกาลเกิดขึ้นที่คัมป์ นู ในรอบน็อคเอาท์ของการแข่งขัน บาร์เซโลน่า ที่บุกไปพ่ายแพ้เปแอสเช ในเลกแรก 4-0 ต้อนรับคู่ต่อสู้จากฝรั่งเศสในเลกที่ 2 โดยพวกเขาต้องการอย่างน้อย 5 ประตูหากต้องการผ่านเข้ารอบต่อไป หลังจากทำ 3 ประตูภายใน 1 ชั่วโมง พวกเขาก็มีความหวังขึ้นมาทันที ก่อนที่เอดินสัน คาวานี่ จะยิงอเวย์โกลสำคัญให้เปแอสเช นั่นก็หมายความว่าบาร์ซ่าจะต้องยิงเพิ่มอีก 3 ประตู แต่ปาฏิหาริย์ก็บังเกิดในช่วงท้ายเกม 2 ประตูของเนย์มาร์ ตามด้วยประตูที่ 6 ของเซร์จี้ โรแบร์โต ในนาทีที่ 90+5 ทำให้ผลรวมบาร์เซโลน่าเอาชนะไป 6-5กลายเป็น "ลา เรมอนตาด้า" การกลับมาที่น่าทึ่งของยอดทีมแห่งคาตาลัน


แมนฯ ซิตี้ 4-3 ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ / 2018-19

           หลังจากที่เลกแรก ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ เอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปก่อน 1-0 เกมที่ 2 ก็ต้องกลับมาแข่งกันที่เอติฮัด 11 นาทีแรกก็ถล่มประตูกันไปแล้วรวม 4 ลูก เริ่มจากราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ยิงให้ 'เรือใบสีฟ้า' ขึ้นนำ ก่อนที่ซน ฮึงมิน จะทำ 2 ประตูรวดให้สเปอร์สพลิกขึ้นนำ แบร์นาโด้ ซิลวา ตีเสมอให้เจ้าถิ่นได้ทันควัน จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ห้ำหั่นกันอย่างไม่คิดชีวิต สเตอร์ลิ่งและเซร์คิโอ อเกวโร่ ช่วยให้แมนฯ ซิตี้ ขึ้นนำเป็น 4-2 ก่อนที่เฟร์นันโด ยอเรนเต้ จะยิงประตูสำคัญที่ต้องยืนยันด้วย VAR ที่จะส่งให้สเปอร์สผ่านเข้ารอบต่อไป แต่ดราม่าจากเทคโนโลยี VAR ยังไม่จบเมื่อแมนฯ ซิตี้ คิดว่าพวกเขาสามารถเอาชนะในช่วงทดเวลาบาดเจ็บแต่ถูก VAR ปฏิเสธประตูของสเตอร์ลิ่งไปแบบสุดเจ็บปวด


โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์  4-1 เรอัล มาดริด / 2012-13

           ดอร์ทมุนด์ จากการนำของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ มีฤดูกาล 2012-13 ในยุโรปที่น่าจดจำ เส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศของพวกเขานั้นน่าเหลือเชื่อมากๆ 'เสือเหลือง' ทำให้โลกตะลึงด้วยการถล่มเรอัล มาดริด ไปถึง 4-1 โดยกองหน้าโปแลนด์อย่างโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ทำคนเดียวทั้ง 4 ประตู การจบสกอร์ของเขานั้นโดดเด่นมาก มีทั้ง การพลิกตัวยิง, ดึงบอลกลับก่อนจิ้มบอลเข้าไป, การเข้าชาร์จสังหารในระยะประชิดด้วยสัญชาตญาณดาวยิงที่ยอดเยี่ยม หรือการหลอกปราการหลังตัวสุดท้ายก่อนยิงหลังโชว์ฟุตเวิร์คอันน่าทึ่งในกรอบเขตโทษ และนี่เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เลวานดอฟสกี้ได้สถาปนาตัวเองกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดกองหน้าของยุโรป

 

บาเยิร์น มิวนิก 1-1 เชลซี (ยิงจุดโทษ 3-4) / 2011-12

           เป็นที่จดจำอย่างกว้างขวางในฐานะ 'นัดชิงชนะเลิศของดิดิเยร์ ดร็อกบา' เชลซีเอาชนะบาเยิร์น มิวนิค ในอัลลิอันซ์อารีน่า ในรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก 2011-12 โดยเขาเป็นฮีโร่โขกทำประตูให้ทีมในนาทีที่ 88 ซึ่งช่วยทำให้เชลซีตีเสมอบาเยิร์น มิวนิก 1-1 หลังจากที่โธมัส มุลเลอร์ ยิงให้ 'เสือใต้' นำไปก่อน ทำให้หมดเวลาเสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลาออกไปอีก 30 นาที แต่หลังผ่าน 120 นาที ก็ยังเสมอกัน จึงได้ดวลจุดโทษตัดสิน ปรากฏว่า ดร็อกบายิงเป็นคนสุดท้ายช่วยให้ทีมเชลซีชนะจุดโทษด้วยผล 4-3 ทำเอากองเชียร์เจ้าถิ่นเงียบกริบ และกลายเป็นแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรกของเชลซีนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา ซึ่งดร็อกบาก็ถูกโหวตให้เป็น ยูฟ่า แมน ออฟ เดอะแมทช์ ในการแข่งขันฤดูกาล 2011-2012

 

บาร์เซโลน่า 2-2 เชลซี / 2011-12

           แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2011-12 ของเชลซีจะอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลหลายๆ คนไม่ใช่แค่แฟนบอลสิงห์บลูส์เท่านั้น หนทางสู่รอบชิงชนะเลิศนั้นพวกเขาต้องผ่านคัมป์ นู และบาร์เซโลน่าในยุคเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาชนะไปก่อน 1-0 ในเลกแรกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่ในเลกที่ 2 เชลซี โชคร้ายต้องมาโดนใบแดงตั้งแต่ต้นเกม ทำให้เหลือ 10 คน ต้องต้านทานกับเกมรุกอันอันดุดันของบาร์ซ่า และพวกเขาก็เสียประตู 2 ลูก จนบาร์ซ่ากลับมานำในสกอร์รวม แต่ช่วงท้ายครึ่งแรก แฟรงค์ แลมพาร์ด ตัดบอลได้กลางสนามก่อนจ่ายเร็วให้ รามิเรส กองกลางชาวบราซิลหลุดเดี่ยวขึ้นมาชิปข้ามหัว บิคตอร์ บัลเดส ตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2 สกอร์รวมเสมอ 2-2 และจะเข้ารอบด้วยกฎอเวย์โกล ทำให้บาร์ซ่าโหมหนักในครึ่งหลังทำเอาเชลซีโงหัวไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามในช่วงทดเจ็บ แอชลีย์ โคล เคลียร์บอลยาวทิ้งมา เฟร์นานโด ตอร์เรส ยืนห้อยอยู่พอดี เกี่ยวบอลลงก่อนหลุดเดี่ยว ก่อนแตะบอลหลบบัลเดส แปบอลเข้าประตูโล่งๆ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ไล่มาเป็น 2-2 รวมสองนัด เซลชี เอาชนะไปด้วยสกอร์รวม 3-2 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศและได้แชมป์ยุโรปในปีนั้น 


โรม่า 3-0 บาร์เซโลน่า / 2017-18

           ปีก่อนหน้านั้น บาร์เซโลน่าโกงความตายพลิกกลับมาเอาชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไป 6-1 สกอร์รวมสองนัดพลิก 6-5 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ แต่ในปีถัดมากลับกลายเป็น "หมาป่ากรุงโรม" ที่โกงความตายจากเกมแรกที่บุกไปพ่ายบาร์ซ่า ที่คัมป์นู 1-4 โดยกลับเป็นโรม่า ที่สร้างปาฏิหาริย์สุดเหลือเชื่อ ด้วยการเปิดรังสตาดิโอ โอลิมปิโก ทุบชนะ บาร์เซโลน่า 3-0 ได้ประตูจากเอดิน เชโก้, จุดโทษของ ดานิเอเล่ เด รอสซี่ และ คอสตาส มาโนลาส จบเกม โรม่า ต้อน บาร์เซโลน่า 3-0 และเมื่อรวมผล 2 นัด ทั้งสองทีมเสมอกัน 4-4 และเป็น โรม่า ชนะด้วยกฏประตูทีมเยือน ผ่านเข้าไปเล่นรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ส่วน บาร์ซ่า กระเด็นตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายอย่างเหลือเชื่อ